เนื่องจากเป็นการชุมนุมเคลื่อนไหวภายใต้แนวทางที่แจ่มชัดใน การเปล่งประกาศ ‘ราษฎรประสงค์ ยกเลิก 112’
อันเป็นผลึกในทางความคิดที่ก่อรูปขึ้นตั้งแต่การเคลื่อนไหวของ ‘เยาวชนปลดแอก’ ประสานเข้ากับ ‘แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม’ กระทั่งยกระดับขึ้นเป็น ‘คณะราษฎร 2563’
เป้าหมายหนึ่ง คือเสียงตะโกน ‘ออกไป ออกไป’ ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป้าหมายหนึ่ง คือเสียงเรียกร้องให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเป็นประชาธิปไตย
และเป้าหมายหนึ่ง คือการปฏิรูปสถาบัน อันแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในการขับเคลื่อนโดยพุ่งตรงไปยังรัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ผลสะเทือนอย่างเด่นชัดจึงไม่เพียงแต่ได้กลายเป็นวิวาทะบนเวทีสาธารณะ หากแต่พรรคการเมืองก็จำเป็นต้องบรรจุเป็น ‘วาระ’
ไม่ว่าท่าทีอันมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าท่าทีอันมาจากพรรคก้าวไกล ไม่ว่าท่าทีอันมาจากพรรคเสรีรวมไทย ประสานเข้ากับพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย
ได้ก่อให้เกิดแนวทาง 2 แนวทาง ซึ่งจะกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในทางการเมืองนับจากนี้เป็นต้นไป
นั่นก็คือ เกิดกลุ่มในทางความคิดหนึ่ง ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องการปรับปรุง และโน้มเอียงที่จะนำไปสู่การแก้ไข และอีกความคิดหนึ่งซึ่งต้องการคงความศักดิ์สิทธิ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
จากนั้นประเด็นอันเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็ยกระดับขึ้นมาอยู่ในวาระของสังคม ไม่เพียงแต่การล่ารายชื่อ
หากแต่มีการเปิดเวทีสาธารณะถกแถลงกันอย่างกว้างขวาง
เวทีสาธารณะได้ทำให้มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ต่อเนื้อหา และการปฏิบัติจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ลงลึกไปในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
ยิ่งการเปิดล่ารายชื่อได้มา 1 แสนภายใน 24 ชั่วโมงยิ่งร้อนแรง
แนวโน้มและความเป็นไปได้ก็คือปมแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะกลายเป็นวาระที่จะต้องต่อสู้ทางการเมือง
สมรภูมิเลือกตั้งครั้งหน้า มาตรา 112 จะกลายเป็นทางเลือก

